ดึงหน้า

เพื่อใบหน้าที่เต่งตึงและอ่อนวัยตลอดเวลา

การมีผิวพรรณที่สดใสเต่งตึงและดูสาวตลอดเวลาเป็นความสุขของทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิง  แต่สังขารมนุษย์เรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ร่างกายของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน 30 ปี ไปแล้ว  เรามักจะพบสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั้นคือความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายรวมทั้งผิวหนังบนใบหน้าและลำคอ

ทุกเช้าที่คุณตื่นขึ้นมาส่องกระจก  ลองสังเกตดูใบหน้าของคุณอย่างใกล้ชิดดูสิครับ  แล้วจะเริ่มเห็นริ้วรอยที่มาเยือนตามส่วนต่างๆ ของผิวหนังอันได้แก่ ร่องหน้าผาก ที่มีรอยเหี่ยวย่นให้มองเห็นชัด  คิ้วทั้ง 2 ข้างเริ่มจะหย่อนลงมาทำให้หนังตาย้อยมาปิดที่เปลือกตา และหางตาที่ตกเป็นแนวลู่ลง เมื่อมองดูที่หนังตาล่างก็เห็นมีถุงไขมันป่องนูนออกมา  มีร่องน้ำตาลึกขึ้น  ส่วนด้านข้างของจมูกก็เห็นมีรอยร่องลึกขึ้นเป็นร่องแก้มที่เด่นชัด  ครั้นพอยิ้มเข้าหน่อยก็ชักจะเห็นขีดรอยพับจีบที่หางตาเป็นรอยที่เรียกกันว่า ตีนกา  อาจจะมีเป็นสองแฉก สามแฉก หรือหลายแฉก ขึ้นที่ปลายหางตา  เมื่อสังเกตลงมาถึงคางก็จะเห็นลักษณะของคางที่ห้อยย้อย  และมีเนื้อที่เหี่ยวรวมตัวอยู่ข้างๆ ขากรรไกร ส่วนบริเวณคอก็เห็นเป็นลำกล้ามเนื้อและมีหนังที่เป็นแนวเหี่ยวย่นมากขึ้น

หากเราเห็นสิ่งเหล่านี้เพิ่มพูนมากขึ้นแล้วละก็ แสดงว่าเริ่มแก่ตามสภาพของอายุแล้วละครับ  ใครก็ตามที่รักสวยรักงามและยังไม่อยากแก่เกินวัยหรือยังยอมรับความแก่ไม่ได้คงจะอยู่ไม่เป็นสุข  เพราะยิ่งต้องออกไปพบปะผู้คนหรือเข้าสังคมบ่อยๆ ความมั่นใจในความสาวสดใสก็เริ่มจะถดถอยไปตามอายุที่มากขึ้น หรือหญิงสาวบางคนอาจจะแก่เร็วเกินกว่าวัยอันควร และผิวหนังอาจจะเหี่ยวย่นเร็วเกินไปอันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพหรือการไม่ได้ดูแลผิวพรรณมาก่อน 

เพื่อใบหน้าที่เต่งตึงและแลดูอ่อนวัยตลอดเวลา คุณควรดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณอยู่เสมอ แต่หากเกิดรอยเหี่ยวย่นดังที่หมอกล่าวมาข้างต้น  การที่จะทำให้ใบหน้ากลับมาเต่งตึงและดูอ่อนวัยขึ้นจึงจำเป็นต้องพึ่งแพทย์  การดึงหน้า  ก็เป็นวิธีแก้ไขปัญหาหน้าตาหย่อนยานอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้

ความจริงแล้ว การดึงหน้า นั้นเป็นวิธีการแก้ไขใบหน้าที่หย่อนยานให้เต่งตึงได้อย่างเห็นผลทันตาเลยทีเดียว  และเป็นวิธีการผ่าตัดที่ทำกันมาหลายยุคหลายสมัยแล้วเรียกว่าเกือบจะร้อยปีแล้วก็ได้ วิธีการผ่าตัดก็มีการพัฒนาและเทคนิคการผ่าตัดก็ได้รับการปรับปรุงให้เกิดความรวดเร็วและปลอดภัยตลอดเวลา ในปัจจุบันนี้นับได้ว่าการผ่าตัดดึงหน้าเป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีมาก และมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงทีเดียว 

ในการผ่าตัดดึงหน้านั้น ก่อนอื่นคุณควรจะพูดคุยกับคุณหมอเสียก่อนว่า การผ่าตัดดึงหน้าหรือส่วนอื่นๆ นั้น จะได้ผลเปลี่ยนแปลงหรือเต่งตึงขึ้นส่วนใดบ้าง  และส่วนไหนที่ยังจะมีการหย่อนหลงเหลืออยู่บ้างเพราะการดึงหน้านั้นจะทำให้คุณมีใบหน้าที่ตึงขึ้นได้  แต่ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นสาววัยรุ่นได้ทุกคนนะครับ  ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพของผิวหนังและโครงสร้างของกล้ามเนื้อแต่ละบุคคลด้วย

การผ่าตัดดึงหน้านั้นก็เป็นการผ่าตัดที่สำคัญพอสมควร และใช้เวลาประมาณ 2-4 ชม. ดังนั้นคุณจึงต้องสุขภาพที่แข็งแรงพอสมควรจึงจะทำการผ่าตัดดึงหน้า ทั้งนี้การผ่าตัดสามารถทำโดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ร่วมกับการใช้ยานอนหลับอย่างอ่อนๆ หรือการผ่าตัดโดยการใช้การดมยาสลบซึ่งแพทย์นิยมทำโดยวิธีนี้มากกว่า  เพราะคุณจะหลับตลอดระยะเวลาในระหว่างการผ่าตัดดึงหน้า รวมทั้งการดูแลการหายใจและระบบไหลเวียนก็อาจจะดีกว่าการฉีดยาชาเฉพาะที่ เพราะคุณจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ดมยาด้วย  สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่มีผลต่อต่อการดมยาสลบ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ  เพื่อจะได้ควบคุมอาการและความรุนแรงของโรคให้ได้เสียก่อน  รวมทั้งหากคุณทานยาบางชนิดอยู่เป็นประจำ เช่น ยากลุ่มแอสไพริน ยาคุมกำเนิด  หรือฮอร์โมนบางชนิดมาเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะเพื่อรักษาภาวะหมดประจำเดือน  วิตามินอี  หรือเป็นโรคความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน เป็นต้น  ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย  เพราะปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อการผ่าตัดดึงหน้า และการสมานของแผลทั้งทางตรงและทางอ้อมได้

คนไข้บางคนสูบบุหรี่จัดก็เป็นเหตุให้ผิวหนังเสื่อมเร็วกว่าปกติและยังเป็นสาเหตุให้ผิวหนังไม่แข็งแรง  ดังนั้นหมอมักจะขอให้หยุดการสูบบุหรี่ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดดึงหน้า จนกว่าแผลจะหายสนิทแล้วเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการเตรียมคนไข้ก่อนการผ่าตัดดึงหน้า  นอกจากนั้นแล้ว แพทย์ยังต้องมีการตรวจเพื่อดูความแข็งแรงของร่างกายเป็นพื้นฐานก่อนการผ่าตัด

วิธีการผ่าตัดดึงหน้านั้น  แพทย์จะเริ่มจากการเปิดแผลบริเวณเหนือหูขึ้นไปถึงบริเวณขมับ  โดยผ่านผิวหนังหลังแนวผมเข้าไปตามขอบใบหูด้านหน้า  และอาจเว้าขึ้นไปที่ติ่งหูหน้ารูหูเล็กน้อย แล้วต่อลงมาที่ติ่งหูด้านล่าง  โค้งอ้อมติ่งหูไปทางด้านหลังหูตรงบริเวณซอกหลังใบหูขึ้นไป  จากนั้นจึงลากผ่านเข้าไปในผมอีกทีเพื่อซ่อนแผลไว้ในแนวเส้นผม จะเห็นได้ว่าแผลที่โผล่มาให้เห็นนั้นจะอยู่ตรงบริเวณขอบหูด้านหน้าเท่านั้นเอง ซึ่งเมื่อแผลหายสนิทแล้วก็มักจะมองไม่ค่อยเห็นชัด  ส่วนบริเวณอื่นๆ  แพทย์จะซ่อนเอาไว้อย่างดีตามแนวเส้นผม  โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็น  หลังจากนั้นแพทย์ก็จะเปิดผิวหนังส่วนบนของใบหน้าหรือส่วนที่หย่อนยานขึ้น เมื่อเปิดได้กว้างเพียงพอแล้วแพทย์ก็จะเปิดยกผืนพังผืดและกล้ามเนื้อขึ้นอีกชั้นหนึ่งเพื่อจะได้ดึงให้ตึงเป็น 2 ชั้น (คือชั้นตื้นและชั้นลึก)  คราวนี้แพทย์ก็จะเริ่มจัดการกับกล้ามเนื้อต่างๆ ที่มีผลต่อริ้วรอยของใบหน้า เช่น กล้ามเนื้อหางตา (หรือที่เคยรู้กันมาว่า ตัดตีนกา นั่นแหละครับ) กล้ามเนื้อหน้าผาก หว่างคิ้ว กล้ามเนื้อที่คอด้านข้าง แพทย์ก็จะจัดการเย็บขึงให้ตึงขึ้น แล้วเย็บติดกับส่วนที่แข็งแรงเพื่อตรึงเอาไว้เป็นแห่งๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วแพทย์จึงจะดึงหนังส่วนบนให้ตึงและตัดหนังส่วนเกินที่หย่อนออกไป  แล้วเย็บปิดผิวหนังเข้ากับที่ใหม่ด้วยไหมเล็กๆ ให้แข็งแรงเป็นชั้นๆ อีกที การดึงหน้าเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ในปัจจุบันนี้มีการเย็บรอยแผลให้ปิดด้วยไหมเหล็กเหมือนลวดเย็บกระดาษก็จะช่วยทุ่นเวลาการผ่าตัดดึงหน้าของคนไข้ได้มากทีเดียว จะมีแพทย์หลายท่านที่ใช้วิธีนี้ช่วยในบางส่วนของการเย็บแผล เช่น แผลที่ซ่อนอยู่ในผม ดังนั้นคุณไม่ต้องตกใจหากตื่นขึ้นมาแล้วเกิดไปเจอลวดเย็บแผลชนิดนี้เข้า เพราะเป็นอุปกรณ์เย็บแผลชนิดหนึ่งเท่านั้น เวลาใช้ก็รวดเร็ว  เวลาถอดออกก็ไม่เจ็บเลย แถมสะดวกดีด้วย  ไม่ต้องกังวลว่าจะมีไหมค้างหรือกลัวว่าแพทย์จะตัดไหมไม่หมดด้วย  เพราะลวดเย็บคลำเจอง่ายกว่าไหมเย็บ

หลังผ่าตัดดึงหน้า แพทย์อาจจะใส่ท่อเล็กๆ สำหรับดูดเลือดที่ซึมเล็กซึมน้อยจากการผ่าตัด ดึงหน้าออก เพื่อช่วยป้องกันเลือดที่จะค้างคาหลังจากเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว ท่อนี้แพทย์จะเอาออกให้ในเวลาไม่นานนักอาจจะเป็น 1-2 วันเท่านั้น

เมื่อผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนการดูแลหลังการผ่าตัด

หลังการผ่าตัดโดยทั่วไปก็ต้องมีการดูแลย่างใกล้ชิดหน่อยทั้งนี้เพื่อสังเกตอาการต่างๆ ว่าแผลผ่าตัดเป็นอย่างไร มีอาการปวดหรือเลือดออกผิดปกติหรือไม่ ซึ่งโดยปกติแล้วก็มักจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรงนัก แผลผ่าตัดดึงหน้าก็มักจะปวดไม่มากนักเพราะอาจจะใช้ยาแก้ปวดช่วยบรรเทาอาการได้ หรือการประคบเย็นที่ใบหน้าก็ช่วยทำให้อาการปวดลดลงรวมทั้งป้องกันอาการบวมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผ่าตัดดึงหน้า ได้มากทีเดียว เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-2 วัน แพทย์ก็จะตรวจดูแผลและถอดสายระบายเลือดรวมทั้งอาจถอดผ้าพันต่างๆ ออก และเริ่มทำความสะอาดแผล  ซึ่งก็อาจจะให้คำแนะนำไปดูแลต่อที่บ้านได้หลังจากนั้น ส่วนไหมที่เย็บไว้รวมทั้งไหมเหล็กด้วยนั้นแพทย์มักจะถอดออกได้ในเวลาประมาณ 7-10 วัน  ซึ่งหากไม่มีปัญหาใดๆ  อาการบวมหรือฟกช้ำก็มักจะหายสนิทในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ รวมทั้งรูปโฉมใหม่ก็จะเริ่มเข้าที่ให้เห็นประมาณ 1 เดือนไปแล้ว ไม่ช้าไม่เร็วเกินไปนะครับ



รอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นตามวัยจากภาพแรกจะหายไป  ทำให้ใบหน้าเต่งตึงดูอ่อนวัยเมื่อรับการผ่าตัดดึงหน้าแล้ว

การดูแลสภาพผิวหลังผ่าตัดดึงหน้า   เพื่อให้หน้าที่ดึงเอาไว้คงสภาพอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน  เพราะตามปกติแล้วผลของการดึงหน้านั้น มักจะมีอายุการตึงของผิวหน้าได้นานหลายปีทีเดียว  แต่ว่าปัจจัยหลายอย่างก็มีผลทำให้อายุการตึงตัวของการดึงหน้านั้นลดลงเหมือนกัน  ยกตัวอย่างเช่น การสูบบุหรี่หรือการอยู่ท่ามกลางมลภาวะต่างๆ หรือที่ที่มีคนสูบบุหรี่มากๆ เราก็กลายเป็นคนสูบบุหรี่มือสองไปด้วย  การตรากตรำกรำแดดเป็นประจำโดยไม่มีอะไรปกป้อง เช่น ครีมกันแดด หมวก ร่ม การถูนวดหน้ารุนแรงหรือผิวหน้าที่ขาดการบำรุง เป็นต้น ก็ทำให้หน้าตาเหี่ยวย่นกลับมาใหม่ได้รวดเร็วเหมือนกันนะครับ  ยิ่งอายุมากขึ้นด้วยแล้วก็ต้องบำรุงสุขภาพโดยรวมด้วย เช่น พักผ่อน ออกกำลังกายบ้าง กินอาหารที่มีประโยชน์ และคลายเครียดด้วยกิจกรรมต่างๆ จะได้ชะลอความแก่ตามธรรมชาติที่จะมาเยือนอีกรอบได้นานขึ้น

 

ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดีแล้วว่า การผ่าตัดทุกชนิดย่อมจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่อาจจะมากน้อย รุนแรงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่สำหรับการดึงหน้านั้นก็พบได้บ้าง ซึ่งก็ต้องเล่าสู่กันฟังไว้ด้วยเพื่อความสมบูรณ์  โดยยกเอาเฉพาะที่สำคัญๆ อันได้แก่

  1. แผลเป็น แน่นอนที่สุดว่าการผ่าตัดจะต้องมีแผลเป็นเกิดขึ้น  แต่ถ้าแผลปกติแล้วมักจะเป็นเส้นเล็กๆ และแพทย์จะพยายามซ่อนแผลไว้ในที่ที่มองเห็นได้น้อยที่สุด และที่สำคัญคือหากแผลหายได้ไม่ปกติก็อาจจะเกิดแผลปูด แผลนูน ตามมาได้เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องทำการรักษาต่อไป  อาจจะใช้วิธีฉีดยาละลายแผลปูด การใช้ยาถูนวด หรือ สุดท้ายก็ต้องตัดแต่งแผลเป็นกันอีกครั้ง แต่ทั้งนี้คงต้องให้แพทย์ที่ผ่าตัดเป็นคนประเมินและแนะนำกันต่อไป
  2. เลือดค้างใต้ผิวหนัง อันนี้เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่นการผ่าตัดห้ามเลือดได้ไม่ดี แต่ขอบอกก่อนว่า ในการผ่าตัดทุกครั้ง แพทย์คงต้องพยายามห้ามเลือดให้ดีที่สุดอยู่แล้ว  การมีเลือดออกมาใหม่หลังการผ่าตัด เนื่องเพราะความดันสูง การใช้ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน เป็นต้น  เหล่านี้ต้องเตรียมให้ดีก่อนการผ่าตัดและดูแลหลังการผ่าตัดให้ดี แต่หากเกิดขึ้นจริงก็คงต้องระบายเลือดที่คั่งค้างออกถ้าไม่มากก็อาจจะแค่เจาะดูดออก หรือต้องเปิดแผลเข้าไปอีกทีก็ต้องให้แพทย์จัดการแหละครับ
  3. หน้าเบี้ยวในบางคน  เห็นเรื่องนี้เข้าแล้วบางคนกลัวถอยกรูดไปเลย  ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่แพทย์ที่จะผ่าตัดดึงหน้าทุกคนต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดอยู่แล้ว  โดยการฝึกฝนให้มีความชำนาญและผ่าตัดด้วยความละเมียดละไมอย่างที่สุด  ทั้งนี้ในมือของแพทย์ผู้ชำนาญจริงๆ แล้ว โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก และเมื่อเกิดขึ้นก็มักจะเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น และจะหายไปเองในไม่ช้า
  4. อาการชาที่หน้า ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พบได้ปกติในการดึงหน้า  เพราะว่าผิวหนังที่ถูกแยกขึ้นมาจากเดิมย่อมจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่เลี้ยงผิวหนังบ้าง โดยทั่วไปก็ประมาณ 1-2 เดือน อาการก็จะหายเป็นปกติหายชาไปเอง

ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังการดึงคอ

จะเห็นได้ว่า การผ่าตัดดึงหน้าอาจมีผลข้างเคียงได้บ้างในบางคนแต่สามารถแก้ไขได้ และหายไปเองได้

การผ่าตัดดึงหน้าเป็นวิธีการผ่าตัดที่ช่วยให้ใบหน้าที่หย่อนยานจากผลของผิวหนังที่ร่วงโรยและการเปลี่ยนแปลงตามสภาพสิ่งแวดล้อมให้ถอยกลับไปเต่งตึงสมวัยหรืออ่อนกว่าวัยได้  นับว่าเป็นการผ่าตัดดึงหน้า ที่ได้ผลอย่างทันตา และมีผลข้างเคียงก็เกิดขึ้นน้อยมาก  ไม่น่ากลัวอย่างที่เข้าใจกัน แต่ทั้งนี้การเตรียมตัวอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพและการได้เลือกผ่าตัดดึงหน้า กับแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและชำนาญโดยตรงด้วยความระมัดระวังรวมทั้งคุณก็ควรจะดูแลใบหน้าอย่างถูกต้องก็จะเป็นวิธีการที่ได้ผลดีที่สุด เท่านี้คุณก็จะได้สาวขึ้นสมใจแล้ว