ฮอร์โมนบำบัดคืออะไร ดีอย่างไร
แม้ว่าความร่วงโรยแห่งวัย จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนเมื่อมีอายุมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังปราถนาที่จะคงความหนุ่ม ความสาว เอาไว้ให้นานที่สุด ซึ่งนอกจาก การดูแลตนเอง เช่น เลือกรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย หรือแม้แต่การพึ่งวิตามิน โบท็อก ร้อยไหม หรือการทำทรีตเม้นท์ ที่เป็นตัวช่วยทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์ลงได้แล้ว “ฮอร์โมน” ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่มีผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องของความชราหรือภาวะแห่งความร่วงโรยของวัย
ฮอร์โมน (Hormones) เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของเราสร้างขึ้น เพื่อทำหน้าที่ที่แตกต่างกันในร่างกาย ตั้งแต่เราเกิดจนกระทั่งเราตายไป บริเวณหรืออวัยวะที่สร้างเจ้าฮอร์โมนต่างๆ เหล่านี้ มีหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นบริเวณต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ตับอ่อน ต่อมหมวกไต หรือแม้แต่บริเวณที่เรารู้จักกันดี ก็คือ อัณฑะและรังไข่ เราเรียกรวม ๆ กันว่า ต่อมไร้ท่อนั่นเอง
ระดับของสมดุลฮอร์โมนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ทำให้การทำงานของเซลล์ทั่วร่างกายไม่สมบูรณ์ มีลักษณะถดถอย ก่อให้เกิดภาวะหรืออาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของฮอร์โมนหรืออาการที่เรียกว่า เข้าสู่วัยทอง อาทิ ระดับพลังงานลดลง การเผาผลาญในร่างกายลดลง มวลกล้ามเนื้อลดลง ปริมาณไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้น กระดูกบาง ความจำลดลง สมองเสื่อม ภาวะการนอนหลับผิดปกติ นอนหลับยากขึ้น นอนหลับไม่สนิท หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า ความต้องการทางเพศลดลง ภูมิคุ้มกันลดลง และที่สำคัญคือ ผิวพรรณเปลี่ยนแปลง บอบบาง แห้งกร้าน มีรอยเหี่ยวย่น ผมร่วง ผมบาง ซึ่งสร้างความหนักใจสำหรับคนที่กำลังเข้าสู่วัยทอง เพราะสิ่งที่คนส่วนใหญ่ปรารถนานั่นคือ ต้องการคงความอ่อนเยาว์ทั้งภายในและภายนอก ให้แลดูแข็งแรงเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ
การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อสุขภาพ เป็นหนึ่งในการรักษาทางเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ยศการ คลินิก จะให้การรักษาโดยการใช้ฮอร์โมนทดแทนตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนที่ใช้มีลักษณะโครงสร้างทางเคมีเหมือนฮอร์โมนธรรมชาติของมนุษย์ ฮอร์โมนบำบัด จึงมีความปลอดภัย สามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ กระดูกพรุน ภาวะร้อนตามตัวลดลง ความจำ สมรรถภาพทางเพศและภูมิคุ้มกันดีขึ้น ทำให้กลับดูเป็นหนุ่มสาวขึ้น กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา ผิวพรรณเต่งตึงขึ้น หรือที่เรียกว่า การชะลอวัย นั่นเอง
ฮอร์โมนบำบัดเหมาะกับใครบ้าง
ระดับของสมดุลฮอร์โมนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป และเมื่อความสมดุลของฮอร์โมนเสียไปก็อาจก่อให้เกิดภาวะหรืออาการผิดปกติบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระดับฮอร์โมนได้ ดังนั้น การตรวจวัดระดับฮอร์โมนสามารถเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป
นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการลดลงของฮอร์โมนในร่างกายได้เร็วกว่าปกติ คือ บุคคลที่ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสมลพิษจากสิ่งแวดล้อม มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ มีการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสัดส่วนทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารหรือพร่อง การขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม หรือแม้กระทั่งในบุคคลที่มีการพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนบางชนิดได้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมและทำให้สมดุลของฮอร์โมนภายในร่างกายเสียไปซึ่งรักษาได้ด้วยวิธีใช้ฮอร์โมนบำบัด
ปัญหาที่ตามมาจากภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลคืออะไร
เมื่อระดับฮอร์โมนไม่สมดุลอาจก่อให้เกิดภาวะหรืออาการผิดปกติต่างๆ ภายในร่างกายได้ เช่น การเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นภายในร่างกายลดลง มวลกล้ามเนื้อลดลง ปริมาณไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะโรคอ้วนและยังสามารถส่งผลต่อปัญหาผิวพรรณซึ่งทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายแลดูแก่กว่าวัย
นอกจากนี้ ยังเพิ่มภาวะการนอนหลับที่ผิดปกติทำให้นอนหลับยากขึ้นหรือนอนหลับไม่สนิท ส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย อาจเกิดภาวะซึมเศร้า ความจำเสื่อม ความต้องการทางเพศลดลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย ดังนั้นการใช้ฮอร์โมนบำบัดจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้
ฮอร์โมน มีผลอย่างไรต่อความอ่อนเยาว์
ระดับฮอร์โมนเป็นสิ่งสำคัญที่รักษาความอ่อนเยาว์ของผิว หรือเป็นตัวเร่งที่ทำให้ผิวเกิดปัญหาและแก่ก่อนวัยได้เช่นกัน ฮอร์โมนที่ส่งผลต่อความเยาว์วัยของคนเรามี 4 ชนิดคือ
- เทสโทสเตอโรน ถ้ามีระดับเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้เกิดสิว เพราะฮอร์โมนนี้กระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น และมีเส้นขนดกหนา สองสิ่งนี้ คือสาเหตุทำให้รูขุมขนอุดตันและเป็นสิวอักเสบ ถ้าฮอร์โมนลดลงสิวจะหายไป แต่ผิวจะเริ่มบางและหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาจะเห็นชัดที่สุด
- เอสโตรเจน ถ้ามีระดับลดลง จะส่งผลร้ายต่อผิวคือ ความแห้งกร้าน ริ้วรอยเกิดขึ้นทั่วผิวหน้า และระคายเคืองง่าย เนื่องจากสูญเสียความชุ่มชื่น ที่สำคัญฮอร์โมนชนิดนี้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยให้ผิวแน่นกระชับ หากเราสังเกตเห็นริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ผมร่วง ผมบาง อาจเป็นผลมาจากระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง
- เมลาโทนิน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ผิวมีความแข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอย และยังช่วยให้ร่างกายนอนหลับสนิท เมื่อได้พักผ่อนเพียงพอ ผิวพรรณจะสดชื่น และเซลล์ใต้ชั้นผิวทำงานอย่างเป็นระบบ แต่เมลาโทนินจะลดน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น
- โกรธฮอร์โมน ช่วยสร้างมวลกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างภายในแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิว ใหม่ให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หากฮอร์โมนชนิดนี้ลดลง อาจทำให้ผิวพรรณเข้าสู่ภาวะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เพราะการสร้างผิวใหม่ทดแทนเป็นไปอย่างล่าช้า
สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านระดับฮอร์โมนไม่สมดุล หรือปรารถนาคงความอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดี สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ยศการ คลินิก เพื่อรับคำแนะนำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้การรักษาโดยการตรวจระดับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย และให้การรักษาด้วยวิธีฮอร์โมนบำบัด ให้ฮอร์โมนทดแทน พร้อมปรับระดับฮอร์โมนให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล
ชะลอวัยต้านแก่ด้วยฮอร์โมนทดแทน มีขั้นตอนอย่างไร
เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง อาจทำให้ผิวพรรณเข้าสู่ภาวะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เพราะการสร้างผิวใหม่ทดแทนเป็นไปอย่างล่าช้า ดังนั้น ในปัจจุบันจึงมีวิทยาการชะลอวัย ใชฮอร์โมนบำบัดเพื่อเสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ลดปัจจัยเสี่ยงของโรค รวมถึงยืดระยะเวลาเริ่มต้นการเกิดความเสี่ยงของอวัยวะที่สำคัญภายในร่างกาย และที่สำคัญช่วยชะลอวัยต้านแก่ ช่วยย้อนวัยให้คุณได้กลับมารู้สึกเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง
วิทยาการชะลอวัยที่ยศการ คลินิก ให้บริการรักษาด้วยวิธีฮอร์โมนบำบัด การให้ฮอร์โมนทดแทน ที่ไม่ใช่ฮอร์โมนสังเคราะห์แต่เป็นฮอร์โมนธรรมชาติ โดยเริ่มที่การตรวจเลือดวิเคราะห์ฮอร์โมน เพื่อตรวจระดับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนการเผาผลาญ ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนการนอน ฮอร์โมนความเครียด Growth Hormone ฮอร์โมนอินซูลิน เป็นต้น
การตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายจัดได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งนี้ เพื่อใช้ประเมินอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายว่าสอดคล้องกับความผิดปกติของระดับฮอร์โมนมากน้อยแค่ไหน แพทย์จะได้ให้การรักษาที่เหมาะสมเพื่อปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติ
เมื่อพบว่าระดับฮอร์โมนตัวใดตัวหนึ่งมีความผิดปกติ แพทย์จึงพิจารณาใช้ฮอร์โมนบำบัด ให้ฮอร์โมนทดแทนตามชนิดของฮอร์โมนที่ผิดปรกตินั้นๆ โดยใช้ฮอร์โมนที่มีลักษณะโครงสร้างทางเคมีเหมือนฮอร์โมนธรรมชาติของมนุษย์ (Bioidentical Hormone) พร้อมปรับระดับฮอร์โมนให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อความปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งตลอดการรักษาโดยใช้ฮอร์โมนบำบัด จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสูงคอยดูแลตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด
ผลของการได้ฮอร์โมนทดแทน
ผู้หญิง : สามารถช่วยรักษาอาการในวัยหมดระดู โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอาการทางอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น ช่องคลอดแห้ง เยื้อบุของช่องคลอดบางลง ขาดความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นจนเกิดอาการอักเสบ ทำให้มีน้ำหล่อลื่นมากขึ้น มีความรู้สึกทางเพศดีขึ้น รวมทั้งอาจทำให้บรรลุจุดสุดยอดได้ ในรายที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือมียาก
ผู้ชาย : สามารถช่วยลดปัญหาอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ความต้องการทางเพศลดลง มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง
นอกจากนี้ ฮอร์โมนบำบัดยังช่วยลดอาการซึมเศร้า เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ ทำให้อารมณ์ดีขึ้นร่าเริงไม่หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียง่าย ทำให้ผิวหนังเต่งตึง และชุ่มชื้นดูอ่อนเยาว์ลง ลดอาการผิวหนังอักเสบ ช่วยเพิ่มระดับของความจำ ป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ มีสมาธิมากขึ้น เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกทำให้ไม่หักง่าย เพิ่มการผลิตเม็ดเลือดแดงทำให้ดูไม่ซีดเซียว ช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมเสริมสร้างกระดูกอ่อน ข้อต่อ เช่น ข้อเข่า ข้อแขน ไหล่ เป็นต้น ช่วยเร่งการสร้างกล้ามเนื้อในขณะที่ลดมวลไขมันในร่างกาย อีกทั้งฮอร์โมนบำบัด ยังช่วยขยายหลอดเลือดลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจวาย อย่างไรก็ตาม ผลของการได้ฮอร์โมนบำบัด จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านสุขภาพที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล
อาการข้างเคียงของฮอร์โมนทดแทน มีหรือไม่
การให้ฮอร์โมนทดแทน ใช้ฮอร์โมนบำบัด แพทย์จะพิจารณาให้ในปริมาณต่ำเท่ากับระดับปกติเท่านั้น ไม่มีการให้เกินขนาด ดังนั้นอาการข้างเคียงจึงมีน้อย ซึ่งอาการข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนบำบัดในสตรีที่พบได้ คือ เลือดออกทางช่องคลอด ส่วนใหญ่พบได้ในช่วงแรกที่เริ่มใช้ แต่เมื่อใช้อย่างสม่ำเสมอเลือดที่ออกทางช่องคลอดจะหายไปเอง นอกจากนี้ อาจมีอาการเจ็บเต้านม อาการปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งจะเป็นในช่วงแรกที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนเท่านั้น
สำหรับผู้ชาย มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนบำบัดกับเพศชาย ในผู้ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ตัวฮอร์โมนเพศชายเองไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็ง เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายสามารถกระตุ้นมะเร็งต่อมลูกหมากให้ลุกลามไปได้เร็วขึ้น โดยแพทย์จะพิจารณาว่าสมควรใช้หรือไม่ ควรใช้อย่างไร พร้อมมีการนัดตรวจติดตามเพื่อประเมินผลการรักษา
อย่างไรก็ตาม การให้ฮอร์โมนทดแทน ใช้ฮอร์โมนบำบัด เพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการดูแลสุขภาพเท่านั้น สิ่งที่สำคัญ คือ วิถีการดำเนินชีวิตที่จะต้องออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง งดดื่มสุรา เลิกสูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยให้สามารถผ่านช่วงวิกฤติแห่งวัยไปได้อย่างไม่มีปัญหา
เทคนิคเพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย
การทำงานของฮอร์โมนเป็นตัวแปรสำคัญของความอ่อนเยาว์ ช่วยชะลอวัย และการมีสุขภาพที่ดี ถ้ารู้จักใช้ฮอร์โมนให้เกิดประโยชน์ก็จะช่วยชะลอวัย ป้องกันความแก่ชราได้ นี่คือเทคนิคง่ายๆ ในการเพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย
– เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 6 ชม. โกรทฮอร์โมนจะหลั่งมากที่สุดในเวลานอนหลับ โดยเฉพาะผู้ที่นอนหลับก่อนเที่ยงคืน โดยเวลาเข้านอนที่แนะนำคือ 4-5 ทุ่ม เพราะร่างกายจะไม่หลับลึกในทันที แต่โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากการนอนหลับจึงจะเข้าสภาวะหลับลึก
เมื่อนอนหลับ ร่างกายที่ใช้งานมาตลอดทั้งวันจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสภาพให้กลับคืนมาเหมือนเดิมราวกับเกิดใหม่ทุกวัน เช่น วงจรการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ปกติเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังจะสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพ พร้อมผลักเซลล์เก่าขึ้นมากลายเป็นชั้นหนังกำพร้า จากนั้นหนังกำพร้าหลุดล่อนออกไป การผลัดเซลล์ผิวนี้ใช้เวลารวมทั้งสิ้นประมาณสี่สัปดาห์
วงจรในเชิงความงามนี้ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงที่เรานอนหลับ โดยโกรธฮอร์โมนทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนกระบวนการสร้างและสลายเซลล์ผิวที่เกิดขึ้นนี้ให้สมบูรณ์ ฉะนั้น หากต้องการ สร้างผิวสวย ต้องเริ่มจากการนอนหลับที่ดีนั่นเอง
– ความรักมักทำให้คนดูเด็กลง การมีความรักหรือตกหลุมรักใครสักคน จะช่วยกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนโดยเฉพาะซีโรโทนินและโดพามีนที่เพิ่มปริมาณขึ้นมาก ส่งผลให้ความเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นเบาบางลง จึงมีความสุขและอิ่มเอมใจอยู่เสมอ
หากระบบการผลิตและหลั่งซีโรโทนินดำเนินไปอย่างราบรื่นในช่วงกลางวัน จะส่งผลดีต่อกระบวนการสร้างเมลาโทนินในช่วงกลางคืนด้วย จึงช่วยให้หลับสนิทโกรธฮอร์โมนก็หลั่งออกมาทำงานร่วมกัน เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้เต็มที่ จึงตื่นมาพร้อมหน้าตาที่สดใสเปล่งปลั่ง ผิวพรรณมีน้ำมีนวล และดูสวยงามทุกวัน
– อาหารที่มีคุณค่า โดยเฉพาะอาหารประเภทกรดอะมิโน โปรตีน จะช่วยบำรุงต่อมใต้สมองให้แข็งแรง และในแต่ละครั้งที่หลั่งโกรทฮอร์โมนก็จะสามารถหลั่งได้มากขึ้นทั้งนี้ ไม่ควรทานอาหารให้อิ่มมากเกินไป โดยอาจแบ่งเป็นมื้อเล็ก แต่หลายมื้อแทน มื้อเล็กๆ ที่เหมาะสม คือ อาหารประเภทถั่ว ผักใบเขียว ผลไม้
อาหารที่ต้องควบคุมในการชะลอความแก่ คือ แป้งและน้ำตาล ควรหันมาทานข้าวกล้องแทน แต่ก็ไม่ทานในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสารอินซูลินในร่างกายต้องรับศึกหนักกับอาหารประเภทน้ำตาลกลูโคสจำนวนมาก และสะสมมาเป็นไขมันในร่างกาย ซึ่งจะยับยั้งการหลั่งโกรทฮอร์โมน ทำให้แก่เร็วขึ้นอีก
ส่วนไขมันที่เหลือก็อาจกระจัดกระจายไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ และเส้นเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นอันตรายกับร่างกาย และหากมีปริมาณน้ำตาลในเลือดที่มากเกินไปสามารถสร้างความเสียหายให้กับตับอ่อน เหมือนในผู้ที่เป็นเบาหวาน เมื่อตับอ่อนทำงานผิดพลาด การหลั่งสารอินซูลินก็จะมีปัญหา ซึ่งหากต้องฉีดอินซูลินที่มาจากหมอ จะยับยั้งให้โกรทฮอร์โมนไม่หลั่งออกมาเลย ส่งผลถึงความแก่ตัวและเสื่อมของเซลล์ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
ดังนั้น ในผู้ที่สามารถควบคุมการทานอาหารได้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการหลั่งโกรทฮอร์โมนได้อย่างดี แต่ในปัจจุบันการเลือกทานอาหารที่มีคุณค่าสูงและมีสารอาหารที่พอเพียงจะช่วยให้หลั่งโกรทฮอร์โมนได้ในปริมาณมากพอกับการย้อนวัยเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาก อีกทั้งอาหารปัจจุบันก็มีสารพิษและสารเคมีสูง ( การเลือกทานอาหารให้ได้คุณค่าเทียบเท่ากับการทานอาหารเสริมใน 1 มื้อ จำเป็นต้องทานในปริมาณมากและหลากหลายเพื่อจะสกัดให้ได้เข้มข้นเทียบเท่า)
การทานอาหารเสริมจึงเป็นทางเลือกที่เป็นที่นิยมกันเพราะมีสารอาหารที่เข้มข้นและครบถ้วน สะอาดและบริสุทธิ์ ปราศจากสารพิษและสารเคมี อีกทั้งยังสะดวกสบายและทานง่ายกว่า ดังนั้น ในผู้ที่ต้องการชะลอความแก่ การเลือกทานอาหารเสริมจะช่วยเสริมโกรทฮอร์โมนชะลอวัยในส่วนของสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นตัวเสริมที่สำคัญในกระบวนการชะลอความแก่ และที่สำคัญควรตรวจสอบสารอาหารที่อยู่ในอาหารเสริมว่าประกอบด้วยกรดอะมิโน และวิตามินที่ช่วยในการหลั่งโกรทฮอร์โมนได้จริง และเป็นชนิดที่สกัดจากธรรมชาติ ยิ่งจะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีและไม่มีผลข้างเคียงจากสารเคมีและสารสังเคราะห์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อตับและไตอีกด้วย
– ออกกำลังกายให้หลากหลายท่า แต่หลักๆ แล้วคือการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ และให้เหงื่อได้ออก หัวใจเต้นแรง เช่น ว่ายน้ำ เต้น ขี่จักรยาน เป็นต้น หรือการออกกำลังกายสั้นๆ ที่ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจก็จะช่วยเสริมการหลั่งโกรทฮอร์โมนได้อย่างดี เช่น วิ่ง วิดพื้น ซิทอัพ การบริหาร เช่น แกว่งแขน แกว่งขา เป็นต้น โดยอาจไม่ต้องนับเป็นนาที แต่นับเป็นเซ็ต เซ็ตหนึ่งประมาณ 10-20 ครั้ง อาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้ตามกำลังความฟิตของร่างกาย
ที่สำคัญคือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้ได้รู้สึกหลั่งเหงื่อ หัวใจเต้นแรงขึ้นในแต่ละวัน จะเป็นตัวช่วยในการหลั่งโกรทฮอร์โมนที่ดีอีกวิธีหนึ่ง โดยต่อมพิทูอิทารี่จะหลั่งโกรทฮอร์โมนได้มากขึ้นต้องออกกำลังกายให้ชีพจนเต้นโดยเฉลี่ยมากกว่า 100-120 ครั้งต่อนาที แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรหักโหมมากเกินไป
– อารมณ์และความรู้สึกของร่างกายมีผลต่อการหลั่งและปริมาณของโกรทฮอร์โมน เช่น ความเครียด ความผ่อนคลาย ความหิว ฯลฯ ความสงบ ผ่อนคลาย ไม่มีความเครียด จะช่วยให้หลั่งโกรทฮอร์โมนได้ดีที่สุด ดังนั้น วิธีผ่อนคลายความเครียดที่จะทำให้โกรธฮอร์โมนหลั่งได้ดีที่สุด คือ การทำสมาธิ
ตัวอย่างวิธีฝึกสมาธิที่ทำได้ง่ายและทำได้ทุกเวลาทุกสถานที่คือ การรู้ลมหายใจเข้าและออก โดยหายใจเข้าลึกๆ ให้ถึงท้อง หรือถ้าทำได้ก็ให้ยาวถึงใต้ท้องน้อยได้เลย การฝึกวิธีนี้ นอกจากจะทำได้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว ยังช่วยลดความเครียด โดยเมื่อเราหายใจเข้าลึกๆ จนไปถึงท้องแล้ว ความคิดฝุ้งซ่านจะน้อยลงเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้โกรทฮอร์โมนเพิ่มปริมาณการหลั่งได้